จริงอยู่ที่มีข้าวของบางอย่าง ที่เราสามารถใช้ร่วมกันได้ไม่ว่าจะเป็นที่นอน, หมอน, มุ้ง รวมไปถึงจานและชาม แต่นอกจากของรักของหวงบางอย่างทั้งเสื้อผ้าหรือสิ่งของที่เราหวงแหนเป็นพิเศษแล้วนั้น ก็ยังมีของต้องห้ามที่ไม่ควรใช้ร่วมกันเป็นอย่างยิ่ง เพื่อสุขอนามัยของตัวเราเอง
ดังนั้นวันนี้เราไปดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง ?
สบู่ : เชื่อเหลือเกินว่าส่วนใหญ่ในแต่ละครอบครัวคงจะใช้สบู่ก้อนร่วมกันไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำหรือล้างมือ แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดีเลยทีเดียว เพราะการผ่านหลายมือนั้นมันทำให้มีความชื้นตลอดจนกลายเป็นสวรรค์วิมานของบรรดาเชื้อรา, เชื้อแบคทีเรียและอีกสารพัดสิ่งสกปรกที่จะเกาะติดผิวหนังเราไปในแต่ละครั้งที่ใช้ ทางที่ดี เราควรหลีกเลี่ยงการใช้สบู่ร่วมกัน
หมวก/หวี : หมวกทุกชนิดและหวีที่มีโอกาสให้หนังกำพร้าบริเวณหนังศีรษะและรังแคปะปนกันมั่วซั่วไปหมด เชื้อราบนหนังศีรษะ โรคผิวหนัง และเหา ก็สามารถติดต่อกันผ่านช่องทางนี้ได้เช่นกัน
แปรงสีฟัน : แปรงสีฟันที่มันเป็นแหล่งนำพาเชื้อโรคจากปากสู่ปากได้เป็นอย่างดี และรวมถึงการใช้แก้วน้ำหรือหลอดดูดร่วมกันนั้น ก็ไม่ต่างจากการแลกเปลี่ยนน้ำลายซึ่งกันและกันอันเป็นสาเหตุของโรคคออักเสบ, โรคเริม, โรคคางทูม และเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
มาสคาร่าและลิปสติก : แม้เครื่องสำอางส่วนใหญ่จะใส่วัตถุกันเสีย และเครื่องสำอางชนิดน้ำส่วนมากมักใช้ร่วมกันได้ เพราะวัตถุกันเสียนั้นมันช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย แต่ทางทีดีก็ไม่ควรใช้มาสคาร่าและลิปสติกร่วมกัน เนื่องจากหากเพื่อนของเราป่วยเป็นไข้หวัด หรือตาอักเสบ หรือตาแดงแล้วล่ะก็มีโอกาสมากที่จะติดเชื้อมาได้
กรรไกรตัดเล็บ/มีดโกน : กรรไกรตัดเล็บที่เป็นอีกหนึ่งแหล่งสะสมเชื้อโรค แถมหากบางทีเราเผลองับเข้าเนื้อก็มีโอกาสให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ และมีดโกนหนวดก็เช่นเดียวกันเพราะมันมีโอกาสได้เลือดจากการโดนบาดหรือพลาดกรีดคมมีดเข้าเนื้อตัวเอง
ต่างหู/หูฟัง : ต่างหู เป็นเครื่องประดับที่เจาะเข้าไปในผิวหนังของเรา ที่มีเชื้อโรคและแบคทีเรียสะสมอยู่ หากจำเป็นต้องใช้ร่วมกัน เราควรทำความสะอาดต่างหูก่อนใช้ นอกจากนี้ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้คนสมัยนี้นิยมใช้กันนั่นก็คือหูฟังที่หันไปทางไหนก็มักจะเห็นครอบเอาไว้กับหูจนแทบจะไม่สนใจสิ่งรอบข้าง โดยมีผลวิจัยรายงานออกมาว่าเคยมีคนไข้ได้รับเชื้อที่ช่องหูมาจากการใช้หูฟังร่วมกับผู้อื่นมาแล้ว
ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงเอาไว้ก็ไม่เสียหายเพราะเชื้อไวรัสสามารถแพร่กระจายผ่านหูฟังได้เหมือนกัน แต่ถ้าหากเลี่ยงไม่ได้แล้วล่ะก็ขอให้ทำความสะอาดให้ดีก่อนใช้งานเป็นการดีที่สุด